วัดพระธาตุเขี้ยวแก้ว หรือ ศรีดาลาดะ มาลิกาวะ ตั้งอยู่ที่พระราชวังโบราณเมืองแคนดี้ พระทันตธาตุขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าถูกนำมายังศรีลังกา โดยเจ้าชายดันธะและเจ้าหญิงหิมามาละ ในรัชสมัยของพระเจ้ากีรติศรี เมกะวารนะในช่วงศตวรรษที่ 4 พระธาตุเขี้ยวแก้วกลายมาเป็นสิ่งคุ้มครองกษัตริย์แห่งศรีลังกาและยังถูกปกปักษ์รักษาไว้เป็นอย่างดีในวิหารพิเศษที่สร้างขึ้นใกล้กลับที่ประทับในนครแคนดี้ ดาลาดะ มาลิกาวะในแคนดี้สร้างโดยพระเจ้าวิมาลาธรรมะสุริยาที่หนึ่ง ในช่วงคริสตศักราช 1592 วัดที่มีชื่อว่าปัลเลวิหารสร้างขึ้นโดยพระเจ้ากีรติศรีราชสิงห์ และศาลาทรงแปดเหลี่ยมสร้างโดยพระเจ้าศรีวิกรมราชสิงห์ เมืองศักดิ์สิทธิ์แคนดี้ได้รับการประกาศให้เป็นแหล่งมรดกโลกโดยองค์กรยูเนสโกเมื่อปี ค.ศ.1988 เพราะคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของวัดพระธาตุเขี้ยวแก้ว ศิลปะและสถาปัตยกรรมในอาณาบริเวณของวัดเป็นแบบแคนดี้ ทางเข้าหลักของวัดเรียกว่ามหาวาฮัลกาดะ มีหินแกะสลักพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวมูนสโตน (ซันดาคาดะปาฮานะ) อย่างวิจิตรบรรจงอยู่ตรงทางเข้า มาคาระโธรานะและรูปปั้นหินเฝ้าประตูสองตัวถูกวางไว้ด้านบนสุดของบันได วิหารหลักแบ่งออกเป็นสองส่วนคือชั้นล่างและชั้นบน ด้านบนเรียกว่าเวทสิทธินะ มาลายะ พิธีแห่ที่สำคัญของดาลาดะ มาลิกาว
ต้นศรีมหาโพธิ์ที่เมืองอนุราธปุระได้รับการยอมรับว่าเป็นต้นไม้ทางประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ต้นศรีมหาโพธิ์ถูกนำมายังศรีลังกาโดยพระสังฆมิตตาเถรีและถูกปลูกเอาไว้ที่มหาเมฆวนาที่เมืองอนุราธปุระ โดยกษัตริย์เทวานัมปิยาติสสะ ภายใต้การชี้แนะของท่านอรหันต์มหินธูมหาเถโร
ต้นศรีมหาโพธิ์ที่นำมาปลูกนี้เป็นกิ่งของต้นศรีมหาโพธิ์ที่เมืองพุทธคยา ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยประทับนั่งทำสมาธิในตอนที่ตรัสรู้ นี่คือของขวัญแห่งความเชื่อแต่พระเจ้าเทวานัมปิยาติสสะจากพระเจ้าอโศกมหาราช ตามคำกราบบังคมทูลขอของพระอรหันต์มหินท พระโอรส ต้นไม้นี้อยู่ในตระกูล “อัสวัสธา” ในภาษาสันสกฤต “อัสวัธธา” ในภาษาบาลี “เอสุธา” ในภาษาสิงหล
กษัตริย์ผู้ปกครองศรีลังกาหลายพระองค์มีส่วนช่วยในการพัฒนาและฟื้นฟูสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ อาทิ พระเจ้าวัสสะปะ พระเจ้าโวหาริกา ติสสะ กระเจ้ามหานาค และพระเจ้าเสนาที่สอง ในรัชสมัยของพระเจ้ากีรติศรีราชสิงห์ กำแพงที่เห็นอยู่ในปัจจุบันถูกสร้างขึ้นโดยพระอิลุปันเทนิเยอัททะทัสสิเถระ ในปี 1969
เคละนิยะ ราชมหาวิหารตั้งอยู่ที่เมืองเคละนิยะ ในเขตกัมปาฮะ วัดเคละนิยะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศถวายแต่การมาเยือนศรีลังกาเป็นครั้งที่สามและเป็นครั้งสุดท้าย หลักฐานทางประวัติศาสตร์บ่งชี้ว่าแปดปีหลังจากการตรัสรู้ พระพุทธเจ้าได้เสด็จมายังเคละนิยะตามคำเชิญของพระเจ้ามานิยัคคิธธะ
ในมหาวงศ์ได้มีการบันทึกไว้ว่าสถูปแต่ดั้งเดิมที่เคละนิยะเป็นที่ประดิษฐานบัลลังค์ประดับอัญมณีที่พระพุทธเจ้าทรงประทับแสดงธรรม ดังนั้นประวัติศาสตร์ของวัดแห่งนี้จึงย้อนกลับไปเมื่อ 500 ปีก่อนคริสตกาล วัลเคละนิยะมีชื่อเสียงเรื่องภาพจิตรกรรมฝาผนังซึ่งเป็นผลงานของโซเลียส เมนดิส ศิลปินผู้มีชื่อเสียง ภาพเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ของวัดและนิทานชาดกอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับพุทธประวัติ พิธีเดินขบวนแห่ซึ่งรู้จักกันในชื่อเคละนิยะ ดุรุธุ เประเฮระ
โลวามหาปายะ หรือ โลหะปราสาท คือหนึ่งในแปดสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเมืองอนุราธปุระ ตั้งอยู่ระหว่างต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์และสถูปรุวันเวลิในป่ามหาเมฆของเมืองอนุราธปุระ สถานที่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสต์ศักราชโดยกษัตริย์ดูตุกามุนุ มีลักษณะเป็นคฤหาสน์หลังมหึมาขนาดเก้าชั้น ที่แห่งนี้ได้ชื่อว่า “โลวามหาปายะ” ในเวลานั้นเพราะหลังคาปูด้วยกระเบื้องโลหะ ดังนั้นจึงได้ชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า Brazen Palace (โลหะปราสาท) ในช่วงการครองราชย์ของพระเจ้าสัทธติสสะ ผู้ครองบัลลังก์ต่อจากผู้สร้างปราสาทแห่งนี้ โลวามหาปายะถูกทำลายจากอุบัติเหตุเพลิงไหม้
วัดลังการามคือหนึ่งในแปดสถานที่ศักดิ์สิทธิของเมืองอนุราธปุระ ตั้งอยู่ระหว่างป้อมปราการโบราณและสถูปอภัยคีรี ล้อมรอบด้วยวฎะทาเคหรือเจดีย์ทรงกลม
อภัยคีรีคือหนึ่งในอารามสำคัญของอนุราธปุระ อภัยคีรีประกอบไปด้วยสถูปขนาดใหญ่และอารามหลายแห่งรวมถึงเจดีย์บรรจุอัฐิอีกหลายพัน สถูปแห่งวัดอภัยคีรีก่อสร้างโดยพระเจ้าวาลากัมบาหุเมื่อศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตกาล หลังจากรื้อถอนอารามเชนออกไปจากบริเวณ
สถูปตั้งอยู่ทางตอนเหนือของป้อมปราการและได้รับการยอมรับในฐานะหนึ่งในแปดสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของอนุราธปุระ สถูปแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นสถูปที่สูงที่สุดในโลกและยังคงสูงกว่าระดับพื้น 75 เมตร แต่ปัจจุบันเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว บริเวณรอบๆ
วัดเชตวนารามตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของรุวันเวลิเสยะ และมีสถูปเชตวัน สถูปที่ได้รับการยอมรับว่าสูงที่สุดในโลกเป็นศูนย์กลาง สถูปนี้สร้างขึ้นโดยพระเจ้ามหาเสนาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 3 และปัจจุบันได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของอนุราธปุระ อารามแห่งนี้ถือกำเนิดและถูกพัฒนาจากอารามให้เป็นมหาวิหาร เชื่อกันว่าวัดเชตวันเอนเอียงทางนิกายมหายานมากกว่าเถรวาท ตัววัดประกอบไปด้วยสถูปเชตะวัน วิหารต้นโพธิ์ ห้องแสดงภาพ ห้องประชุมสงฆ์ โรงทาน ปัญจวาส และบ่อน้ำ วิหารต้นโพธิ์เป็นสิ่งก่อสร้างที่มีเอกลักษณ์
มิหินตเลได้ชื่อว่าเป็นต้นกำเนิดของพุทธศาสนาในศรีลังกา ที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่แสวงบุญที่ดึงดูดคนได้มากที่สุดในศรีลังกาและเป็นหนึ่งในแปดสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของอนุราธปุระ ถึงแม้จะตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองราว 11 กิโลเมตรก็ตาม มิหินตเลเป็นที่เคารพนับถืออย่างยิ่งเพราะเป็นสถานที่ซึ่งพระอรหันต์มหินทะเถระเดินทางมาพำนักขณะมาอยู่ศรีลังกาหลายปีในฐานะผู้วางรากฐานศาสนาพุทธในศรีลังกา
มิริเศวตติยาสถูปและอารามที่อยู่ล้อมรอบคือส่วนหนึ่งของมหาวิหารแห่งเมืองอนุราธปุระ สถูปมิริเศวตติยายังเป็นหนึ่งในแปดสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองอนุราธปุระด้วย สถูปแห่งนี้สร้างโดยพระเจ้าดูตุกะมุนุเมื่อศตรวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล โดยให้เป็นที่ประดิษฐานคฑาของพระองค์และพระบรมธาตุของพระพุทธเจ้า ตามตำนานกล่าวว่าพระเจ้าดูตุกะมุนุได้สร้างสถูปนี้เพื่อเป็นการลงโทษ (พระองค์เอง) ที่เสวยแกงเผ็ดโดยไม่ได้ถวายให้แก่มหาสงฆ์ (อย่างที่มักจะทำเป็นประจำ) สถูปมิริเศวตติยะสูงเกือบ 120 ฟุตและได้รับการบูรณะโดยพระเจ้านิสสันคามัลละแห่งเมืองโปโลนนารุวะเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 12 สถูปที่ถูกทำลายลงถูกสร้างขึ้นใหม่เมื่อปี 1896
รุวันเวลิเสยะ คือหนึ่งในสถานที่ทางศาสนาที่มีความสำคัญที่สุดสำหรับชาวพุทธ และเป็นหนึ่งในแปดสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของอนุราธปุระ เป็นอาคารหลักของมหาวิหารเมืองอนุราธปุระ และตั้งอยู่ระหว่างต้นศรีมหาโพธิ์และสถูปธูปราม รุวันเวลิเสยะสร้างขึ้นโดยพระเจ้าดูตุกะมุนุเมื่อศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล บทกวีมหาวงศ์ได้กล่าวถึงรุวันเวลิเสยะว่าเป็น “มหาธูปะ” ตามตำนานมีต้นไม้ที่เป็นที่สถิตของนางไม้นามว่า “สุวรรณมาลี” อยู่ตรงนี้ก่อนที่จะมีการสร้างสถูปขึ้น ดังนั้นสถูปจึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า “สุวรรณมาลีมหาเจดีย์” ว่ากันว่าการสร้างสถูปแห่งนี้เป็นงานที่พระเจ้าดูตุกะมุนุได้รับมอบหมายจากพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ พระบิดา ตามที่จารึกที่สถานที่แห่งนี้ได้กล่าวไว้
ตันติริมาล ราชมหาวิหารตั้งอยู่ที่เขตทางเหนือตอนกลางของเมืองอนุราธปุระ โดยตั้งอยู่ห่างจากเมือง 47 กิโลเมตร บนถนนสายอนุราธปุระ-วิลัชชิยา ตันติริมาเลมีความสำคัญในฐานะสิ่งก่อสร้างที่ยังคงหลงเหลืออยู่จากยุคก่อนประวัติศาสตร์และยุคประวัติศาสตร์ ซึ่งประกอบไปด้วยอารามพุทธขนาดใหญ่ เพิงหินที่ตันติริมาเลมีศิลปะจากหินเป็นภาพวิถีชีวิตของชาวศรีลังกาในยุคดึกดำบรรพ์ เชื่อกันว่าตันติริมาเลอยู่ภายใต้การปกครองของพราหมณ์ที่รู้จักในชื่อติวันกะเมื่อศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล
สถูปถูปารามคือสถูปแห่งแรกที่สร้างขึ้นในประเทศศรีลังกาหลังจากที่มีการกำหนดให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ที่นี่เป็นหนึ่งในแปดสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของอนุราธปุระ ซึ่งก่อสร้างโดยพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะตามคำขอของพระอรหันต์มหินทะเถระเมื่อศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล สถูปแห่งนี้ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของรุวันเวลิเสยะ และอยู่ใกล้กับอ่างเก็บน้ำบาซาวัคคุลามะทางด้านหนึ่ง และป้อมปราการทางอีกด้านหนึ่ง ตามที่กล่าวในมหาวงศ์ กระดูกไหปลาร้าด้านขวา (พระรากขวัญ)
อวุกนะเป็นที่รู้จักจากพระพุทธรูปของวัดในชื่อเดียวกันที่พบใกล้กับกัลวีวาในเขตอนุราธปุระ พระพุทธรูปแกะสลักจากหินปางประทับยืนบนกลีบดอกบัวสูง 11.36 เมตร
ทีฆวาปีราชมหาวิหาร ตั้งอยู่ที่เขตอัมปาระทางด้านตะวันออก วัดแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งใน 16 สถานที่สำคัญทางศาสนาพุทธในศรีลังกา
ในมหาวงศ์ระบุว่าสถูปทีฆวาปีถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้าสัธธะติสสะเมื่อศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตกาลโดยกรอบด้านนอกตกแต่งด้วยดอกบัวทองคำและอัญมณี
โดวาราชมหาวิหารตั้งอยู่ไม่ไกลจากเมืองบันทราเวลาบนถนนสายบันทราเวลา-บาดุลลาในเขตอุวา
พระพุทธเจ้าได้ประทานเส้นเกศาหนึ่งกำมือจากพระเศียรของพระองค์ให้แก่เขาเพื่อเป็นสัญลักษณ์สำหรับการบูชา ซึ่งภายหลังเทพเจ้าซามันก็นำไปประดิษฐานไว้ในสถูปขนาดเล็ก หลังจากการเสด็จปรินิพพานของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์สรภูได้นำเอากระดูกไหปลาร้าด้านซ้าย (พระรากขวัญ) ของพระพุทธเจ้ามายังศรีลังกาและนำเข้าประดิษฐานในสถูปเดียวกันโดยการขยายขนาดสถูปให้ใหญ่ขึ้น นับแต่นั้นกษัตริย์หลายองค์ได้ทำการบูรณะและขยายขนาดสถูปเรื่อยมา งานบูรณะที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบันเริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 1953 และสิ้นสุดลงในปี 1980 โดยมีการทำยอดสถูปใหม่
มุธิยานกาเน ราชมหาวิหาร ตั้งอยู่ที่เขตบาดุลละ แคว้นอุวะ ตำนานเล่าว่านี่เป็นหนึ่งในสถานที่ที่พระพุทธเจ้ามาพระทับอยู่ร่วมกับพระอรหันต์องค์อื่นๆ ระหว่างการมาเยือนศรีลังกาเป็นครั้งที่สาม ดังนั้นมุธิยานกาเน ราชมหาวิหารจึงเป็นหนึ่งใน 16 สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของศรีลังกา
เบลลันวิลาราชมหาวิหารคือวัดพุทธที่มีความศักดิ์สิทธิ์ในเขตโคลอมโบ หลักฐานทางประวัติศาสตร์เผยให้เห็นว่าต้นโพธิ์ที่วัดนี้คือหนึ่งในหน่อของต้นศรีมหาโพธิ์ที่อนุราธปุระและถูกนำมาปลูกเมื่อศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล
ดังนั้นประวัติศาสตร์ของวัดเบลลันวิลาจึงย้อนกลับไปจนถึงสมัยของพระเจ้าเทวนัมปิยะติสสะ
วัดแห่งนี้ถูกทิ้งร้างหลังจากโปรตุเกสรุกรานศรีลังกา ก่อนจะถูกค้นพบอีกครั้งโดยพระเดชพระคุณเจ้าเทนโกดาเกทราเถระ นอกจากต้นโพธิ์ดังกล่าวแล้วก็ยังมีสถูป
วัดคงคารามคือหนึ่งในวัดสมัยใหม่แห่งแรกๆ ที่โคลัมโบ ตั้งอยู่ใกล้กับทะเลสาบเบราในกรุงโคลัมโบ วัดแห่งนี้ก่อตั้งโดยพระคุณเจ้าฮิกกะดุวะศรีสุมังคลาเถระเมื่อศตวรรษที่ 19 สถาปัตยกรรมและงานออกแบบของวัดได้รับอิทธิพลมาจากศรีลังกาและประเทศอื่นๆ อีกมากมาย อาทิ ประเทศไทย จีน และอินเดีย ต้นโพธิ์ สถูป และห้องบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และวัดสีมามะลากะ คือ องค์ประกอบสำคัญของสถานที่แห่งนี้ วัดสีมามะลากะออกแบบโดยจอฟฟรีย์ บาวา สถาปนิกคนดังเมื่อปี 1979 วัดแห่งนี้มีประพุทธรูปปางต่างๆ มากมาย ศิลปวัตถุ พระบรมธาตุ เหรียญโบราณ และรถยนต์เก่า พิพิธภัณฑ์และห้องสมุดของวัดตั้งอยู่ภายในเขตวัด
โกฏเฏราชมหาวิหารเป็นวัดพุทธโบราณตั้งอยู่ที่ศรีชยวรรธนปุระโกฏเฏใกล้กับกรุงโคลัมโบ วัดแห่งนี้ถูกประกาศให้เป็นแหล่งโบราณคดีโดยรัฐบาลเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2013 เจ้าอาวาสของวัดคือพระคุณเจ้าอลุธนุวาระ อนุรุธถาเถระ พระเจ้าปาระกรามะบาหุที่หกเป็นผู้สร้างวัดแห่งนี้เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 15 ใกล้กับพระราชวังของพระองค์ด้วยความตั้งใจที่จะแจกจ่ายเครื่องเซ่นไหว้ให้กับชุมชนชาวสิงหล ห้องแสดงภาพของโกฏเฏราชมหาวิหารแบ่งออกเป็นสองห้อง ได้แก่ ห้องด้านในและด้านนอก ห้องด้านในตกแต่งด้วยจิตรกรรมฝาผนังสมัยแคนดี้
อารามพุทธมหาเมียวนา เป็นสถานที่สำหรับทุก ๆ คน ไม่ว่าจะมาจากประเทศใด หรือ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นชาวพุทธหรือไม่ก็ตาม ที่นี่เราจะได้พบเห็นผู้คนในชุมชนที่มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ผู้ซึ่งสนใจใฝ่หาในความสุขซึ่งไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานการบริโภคที่ไม่รู้จบ และการเก็บสะสมสิ่งของให้มากยิ่ง ๆ ขึ้นไป
ด้วยการเรียนรู้และฝึกปฏิบัติตามหลักคำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านจะได้รับความสุขสงบที่มิได้ผูกติดยึดโยงกับวิถีชีวิตตามรูปแบบปรกติ
สิตุลพาววะ เป็นเขตสงฆ์ที่ตั้งอยู่ใกล้กับอุทยานแห่งชาติยาละ ในเขตฮัมบันโตตะใกล้กับชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ อารามโบราณแห่งนี้ตั้งอยู่ห่างจากติสสะมหาราม 24 กิโลเมตรไปตามถนนติสสะ-สิตุลพาววะ ที่นี่ได้รับการระบุว่าเป็นวิหาร “จิตตะละปะบาธะ” ก่อตั้งโดยพระเจ้าคาวันติสสะแห่งติสสะมหารามในศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล มีการเปิดเผยว่าเมื่อช่วงศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตกาลในสมัยพระเจ้าวาละกัมบะ มีพระสงฆ์จำวัดอยู่ที่นี่ถึง 12,000 รูป
ติสสะมหาราม ราชมหาวิหาร อยู่ที่ติสสะในเขตฮัมบันโตตะทางตอนใต้ ที่นี่เป็นหนึ่งใน 16 สถานที่ทางพระพุทธศาสนาซึ่งมีความศักดิ์สิทธิ์ในประเทศศรีลังกา เพราะเป็นหนึ่งในสถานที่ที่พระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาเยือน สถูปของวัดติสสะมหารามราชมหาวิหารเป็นสถูปสมัยอาณาจักรโรฮานะที่ใหญ่ที่สุดในทางตอนใต้ของศรีลังกา ตามบันทึกพงศาวดาร
ดัมบะโคละปาตุนะ หรือจัมบะโคละ ปัตตนะ คือท่าเรือโบราณทางตอนเหนือของเมื่อจาฟฟ์นาใกล้กับกัณเกสันธุรัย ตามที่บันทึกไว้ในมหาวงศ์ พระสังฆมิตตะเถรีได้เทียบท่าที่ดัมบะโคละปาตุนะพร้อมกับหน่อของต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์เมื่อศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล พระเจ้าเทวานัมปิยติสสะแห่งอนุราธปุระได้เดินทางไปยังดัมบะโคละปาตุนะ เพื่อรับพระสังฆมิตตะเถรี และพานางไปยังอนุราธปุระในขบวนแห่อย่างเป็นพิธีการ ภายหลังกษัตริย์ทรงปลูกหนึ่งในแปดหน่อแรกของต้นโพธิ์ลงที่ดัมบะโคละปาตุนะ ปัจจุบันมีวัดพุทธที่ดัมบะโคละปาตุนะที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าวนี้
วัดแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ “นัยนาติวู” หรือเกาะนาคธีปะแห่งคาบสมุทรจาฟฟ์นา การเดินทางมายังเกาะนาคธีปะต้องนั่งเรือจากจาฟฟ์นามาเป็นเวลา 30 นาที ตามตำนานเล่าว่าพระพุทธเจ้าได้เดินทางมายังเกาะนาคธีปะในครั้งที่สองที่เสด็จมาเยือนศรีลังกาเพื่อแก้ไขข้อบาดหมางระหว่างพญานาคสองตนในเรื่องดวงอัญมณีและเชื่อกันว่าดวงมณีนั้นถูกประดิษฐานอยู่ในสถูปนาคธีปะนี่เอง ดังนั้นนาคธีจึงเป็นหนึ่งใน 16 สถานที่สำคัญทางศาสนาพุทธในศรีลังกา ปัจจุบันนี้มีสถูปที่ชื่อว่าสถูปราชายาธนาและต้นโพธิ์
คันเดวิหาร ตั้งอยู่ที่อลุธกามะในเขตคาลุทาระ วัดแห่งนี้ได้ชื่อมาจากการที่มันตั้งอยู่บนยอดเนินเขา (คำว่าเนินเขาภาษาสิงหลคือคันดะ) นี่คือหนึ่งในอนุสรณ์สถานทางโบราณคดีที่ได้รับการพิทักษ์คุ้มครองในเขตคาลุทาระ ที่นี่ก่อสร้างโดยพระคุณเจ้าคาระปากาละ เทวะมิตตะเถระเมื่อปี 1734 ภายใต้การนำของพระคุณเจ้าอุดุกามะ จันทราสาระเถระ และพระคุณเจ้าเด็ดดุวะ ธรรมนันทะเถระ คันดิวิหารมีชื่อเสียงจากพระพุทธรูปปางสมาธิขนาดใหญ่ในท่าภูมิผัสสะมุทรา ซึ่งเป็นหนึ่งในพระพุทธรูปนั่งที่ใหญ่ที่สุดที่เพิ่งก่อสร้างขึ้นที่ศรีลังกาเมื่อไม่นานมานี้โดยมีความสูง 48.8 ม. (160 ฟุต) ในเขตวัดประกอบไปด้วยสถูป ต้นโพธิ์ ห้องจัดแสดงภาพ ห้องประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และเทวาลัยที่สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้าอุบลวรรณ กตรคาม และพัทธินี สถูปถูกสร้างขึ้นในรูปทรงระฆัง และตั้งอยู่ในร่มแปดเหลี่ยม
วัดคาลุทาระ ตั้งอยู่ใกล้กับสะพานคาลุคงคา ทางเขตตะวันตก ก่อนนี้วัดแห่งนี้เป็นที่รู้จักในชื่อคงคาธิลากะวิหาร ผู้คนที่สัญจรผ่านวัดแห่งนี้มักจะขอพรโดยการสักการะต้นโพธิ์ที่วัดเพื่อให้เดินทางปลอดภัย ต้นโพธิ์คาลุทาระโพธิยานี้คือหนึ่งใน 32 หน่อของต้นศรีมหาโพธิ์ที่ปลูกในรัชสมัยของพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะในศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล สถูปของวัดสร้างขึ้นเมื่อ 1970 ตามแบบสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์ ยังมีสถูปขนาดเล็กอยู่ด้านในสถูปหลักซึ่งล้อมรอบไปด้วยพระพุทธรูปและมีภาพจิตรกรรมฝาผนังอยู่ด้านในสถูปด้วย สถูปถูกสร้างขึ้นโดยเซอร์ซีริล เดอ ซอยซา โดยการออกแบบร่วมกันระหว่างจัสติน ซามาระเซเกระ และ เอ. เอ็น. เอส. คุละสิงเห กิจกรรมการปรับปรุงวัดครั้งล่าสุดนำโดยสมาคมชาวพุทธคาลุทาระในปี 1931 มีการก่อตั้งกองทุนคาลุทาระ โพธิยะขึ้นมาในปี 1951 โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือ “ปกป้องและดูแลต้นโพธิ์ประวัติศาสตร์คาลุทาระ โพธิยะ”
เดกัลโดรุวะ ราชมหาวิหาร อยู่ที่เดกัลโดรุวะใกล้กับคันดะสาเลในเขตแคนดี้ ตามประวัติศาสตร์ถ้ำแห่งนี้ถูกใช้เป็นที่ประทับของพระเจ้ากีรติศรีราชสิงห์เมื่อครั้งที่ทรงก่อสร้างกัลมาดุวะวิหาร พระองค์ได้ทุ่มเทความสนพระทัยให้กับการปรับปรุงถ้ำแห่งนี้ให้เป็นราชมหาวิหาร สถานที่สำคัญในราชมหาวิหารแห่งนี้ก็คือห้องแสดงภาพที่อยู่ในถ้ำ มีพระพุทธรูปปางไสยาสน์และอื่นๆ อีกหลายองค์ในถ้ำ ถ้ำเป็นที่อนุรักษ์ภาพวาดแบบแคนดี้และพระพุทธรูปที่เกี่ยวข้องกับสมัยแคนดี้เอาไว้ ภาพวาดที่มีชื่อเสียงประจำวัดนี้คือ “Suppression of Mara”
วัดแห่งนี้ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านกาดาละเดนิยะ เมืองอุดุนุวาระในเขตแคนดี้ สามารถเดินทางไปได้โดยใช้ถนนสายโคลัมโบ-แคนดี้และเลี้ยวไปทางดาอุลากาละที่แยกเอ็มบิลิมิกามะ จารึกที่พบที่วัดระบุว่าวิหารและเทวาลัยในสถานที่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อปีที่ 3 ในรัชสมัยของพระเจ้าบุวาเนคะบาหุที่สี่ และสถาปนิกมีชื่อว่ากาเนชวราจิ ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นช่างฝีมือชาวอินเดียใต้
ลังกาติละกะวิหารคือหนึ่งในวัดสำคัญที่สร้างขึ้นในช่วงยุคกลางของศรีลังกา วัดแห่งนี้ตั้งอยู่ที่อุดุนุวาระในเขตแคนดี้ ประวัติศาสตร์ของวัดนี้ย้อนกลับไปเมื่อคริสตศตวรรษที่ 14 บันทึกประวัติศาสตร์ระบุว่าลังกาติละกะวิหารถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้าบุวาเนคะบาหุ ที่ปกครองอาณาจักรกัมโปละตั้งแต่ ค.ศ. 1341 ถึง 1351
อัธคาดะวิหาร อยู่ในเมืองคุรุเนกาละ ของจังหวัดทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือ เชื่อกันว่าพระเจ้าสุระติสสะ อนุชาของพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะเป็นผู้สร้างวัดแห่งนี้เมื่อศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล นี่คือวัดถ้ำตรงเชิงเขาอัธกาละ ก้อนหินขนาดมหึมาที่เมืองคุรุเนกาละ วัดแห่งนี้มีพระพุทธรูปและภาพจิตกรรมสมัยแคนดี้
เชื่อกันว่าวิหารทัมปิตะในศรีวิจายะสุนทรารามเป็นสถานที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุโบราณแห่งอาณาจักรดัมบาเดนิยะ
วัดโมนาระกาละในรัมโบดะกัลละ ในเขตคุรุเนกาละเป็นวัดสมัยใหม่ที่เป็นที่นิยมในหมู่ผู้แสวงบุญ โดยวัดแห่งนี้เพิ่งถูกสร้างขึ้นในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมานี้เอง วัดอยู่ห่างจากคุรุเนกาละ 20 กิโลเมตรและห่างจากริดิวิหาร (วิหารเงิน) เพียงแค่ 5 กิโลเมตรไปตามถนนริดิกามะ-เค็ปเปติกาละ รัมโบดะกัลละเริ่มมีความโดดเด่นเมื่อตอนที่เริ่มแกะสลักพระพุทธรูปขนาดใหญ่สุดในศรีลังกาในท่านั่ง พระพุทธรูปองค์นี้สูง 67.5 ฟุตและเพิ่งจะแกะสลักเสร็จไปได้ไม่นานด้วยฝีมือของประติมากรชาวอินเดียใต้ มุธธัยยะ อิสธาปาติ ภายใต้การชี้แนะของเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน
ริดิวิหาร อยู่ที่ริดิกามะในเขตคุรุเนกาละทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือ วัดแห่งนี้ตั้งอยู่ห่างจากเมืองคุรุเนกาละไป 20 กิโลเมตรและได้ชื่อว่าเป็นที่ที่มีการค้นพบแร่เงิน (ริดิ) เมื่อตอนที่พระเจ้าดุตุกามุนุสร้างรุวันเวลิสายะที่อนุราธปุระ ว่ากันว่าการค้นพบนี้เป็นนิมิตรหมายอันดีและเป็นโอกาสในการค้นพบงานที่น่าชื่นชมของพระเจ้าดุตุกามุนุ จากนั้นเงินที่ค้นพบจากที่นี่ก็ถูกนำไปมอบให้แก่คนงานก่อสร้างสถูปแห่งนี้
คีรีเวเฮระ ตั้งอยู่ที่คาธาระกามะในเขตโมนารากาละ ที่นี่เป็นหนึ่งใน 16 สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของศรีลังกา เชื่อกันว่าคีรีเวเฮระสร้างโดยพระเจ้ามหาเสนา ซึ่งเป็นผู้ปกครองเขตคาธาระกามะ ว่ากันว่าพระเจ้ามหาเสนาได้พบกับพระพุทธเจ้าและฟังธรรมเทศนา จึงสร้างสถูปไว้เป็นเครื่องเตือนให้ระลึกถึง คีรีเวเฮระ
อลุวิฮาเร หรืออโลคาวิหาร ตั้งอยู่ขึ้นไปทางเหนือของเมืองมาตะเลสี่กิโลเมตรไปตามถนนมาตาเล-ดัมบุลละ ที่นี่เป็นที่รู้จักในฐานะสถานที่ซึ่งพระไตรปิฎกภาษาบาลีถูกเขียนขึ้นเป็นครั้งแรกในศตวรรษที่ 1 ยุคก่อนคริสตกาลเมื่อช่วงรัชสมัยของพระเจ้าวาละกัมบาหุ เพื่อเป็นการรำลึกถึงมรดกทางประวัติศาสตร์นี้ พระที่วัดนี้ยังคงคัดลอกจารึกทางพุทธศาสนาลงบนใบปาล์มอยู่ในบริเวณวัด
สถานที่แห่งนี้สวยงามเต็มไปด้วยหินก้อนใหญ่และเพิงพักหิน เพิงหินบางแห่งมีจารึกอักขระพราหม์โบราณ และบางแห่งมีการทาสีและเต็มไปด้วยรูปปั้น
วัดถ้ำดัมบุลละ (หรือที่รู้จักในชื่อวัดทองคำดัมบุลละ) เป็นวัดถ้ำที่ใหญ่ที่สุดและได้รับการดูแลเป็นอย่างดีของศรีลังกา ตั้งอยู่ที่มาตะเล วัดทองดัมบุลละได้รับการประกาศให้เป็นแหล่งมรดกโลกโดยองค์กรยูเนสโกเมื่อปี 1991 เชื่อกันว่าพระเจ้าวาละกัมบะได้เปลี่ยนถ้ำแห่งนี้ให้กลายเป็นวัดเมื่อศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตกาลหลังจากที่ยึดอำนาจคืนจากผู้บุกรุกชาวอินเดียใต้ วัดถ้ำแห่งนี้วิหารอยู่ห้าแห่ง ได้แก่
ปิดุรันกาละ ราชมหาวิหาร ตั้งอยู่ที่เขตมาตะเลใกล้กับเขตสิกิริยะ ซึ่งเป็นที่รู้จักดี ประวัติศาสตร์ของปิดุรันกาละย้อนกลับไปตั้งแต่ศตวรรษที่ 1 และ 2 ก่อนคริสตกาล ปิดุรันกาละถูกใช้เป็นอารามในสมัยโบราณ ในรัชสมัยของพระเจ้ากัสยป สถานที่แห่งนี้ได้กลายมาเป็นอารามพุทธที่สำคัญ ดังนั้นจึงเชื่อกันว่า “อัปปลวันนากัสยปคีรีวิหาร” ซึ่งสร้างโดยกษัตริย์คัชยาปะ ตั้งอยู่ที่ปิดุรันกาละนี้ มีสถานที่สำคัญทางโบราณคดีหลายแห่งตั้งอยู่ที่นี่ อาทิ สถูป ที่ประชุมสงฆ์ โพธิการยะ ห้องเทศนาธรรม และห้องจัดแสดงภาพ นอกจากนั้นยังมีพระพุทธรูปปางไสยาสน์และซากสถูปให้เห็นอยู่บนหินปิดุรันกาละด้วย
อลาฮานะ ปิริเวนะ ตั้งอยู่ระหว่างทางเข้าเมืองทางด้านเหนือและอารามกัลวิหารแห่งเมืองเก่าโปโลนนารุวะ อารามแห่งนี้สร้างขึ้นโดยพระเจ้าปาระกรามะบาหุ มหาราชในคริสต์ศตวรรษที่ 12 เพื่อให้เป็นมหาวิทยาลัยพุทธที่ให้การศึกษาแก่พระสงฆ์จำนวนหลายพันรูปในเวลานั้น สถูปพุทธขนาดใหญ่ที่สุดสองสถูปของโปโลนนารุวะ ได้แก่
รันโคธวิหารและคีรีวิหารตั้งอยู่ในบริเวณอลาฮานะ ปิริเวนะ ห้องจัดแสดงภาพลังกาติลาเก พุทธเสมาปราสาท หรือที่ประชุมสงฆ์ และซากโรงพยาบาลโบราณคือหนึ่งในบรรดาอนุสรณ์ศำคัญที่อลาฮานะ ปิริเวนะ มีกุฏิพระสงฆ์กระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณ
กัลวิหารคือสถานที่ที่น่าดึงดูดใจที่สุดในบรรดาอนุสรณ์โบราณที่โปโลนนารุวะ ที่นี่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของอลาฮานะ ปิริเวนะ และทางตอนใต้ของเดมาละ มหาเสยะแห่งเมืองโบราณโปโลนนารุวะ กัลวิหารเป็นที่รู้จักในชื่อ “อุตราราม” หมายความว่า “อารามทางทิศเหนือ” ซึ่งสร้างขึ้นโดยพระเจ้าปาระกรามะบาหุมหาราชในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 12 วัดแห่งนี้ประกอบไปด้วยพระพุทธรูปแกะสลักจากหินสามองค์และถ้ำที่มีพระพุทธรูปองค์เล็กประดิษฐานอยู่ ในบรรดาพระพุทธรูปสามองค์
รันคธวิหาร เมืองปานะดุระ แคว้นกัณทาราคือหนึ่งในวัดพุทธที่เป็นที่รู้จักในศรีลังกา วัดแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1810 โดยพระคุณเจ้าบาทะโปละ กัลญานะติสสะเถระ ศิษย์เอกของท่านศรีคาตะลุเว กุนารัตนะ มหานายะกะเถระ
สถูปโสมะวาธีตั้งอยู่ที่เมืองโปโลนนารุวะทางตอนเหนือของแคว้น สถูปแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสต์กาลริมฝั่งแม่น้ำมหาเวลี
ศรีปาดะ หรือ ภูเขาสมานาละ เป็นภูเขาที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในศรีลังกา นักเขียนชาวตะวันตกรู้จักที่นี่ในชื่ออดัมส์ พีค ภูเขาแห่งนี้สูง 7,400 ฟุตจากระดับน้ำทะเลและเป็นเขตกั้นระหว่างรัตนปุระและนุวาระ เอลิยะ ยอดเขานี้เป็นจุดที่น่าสนใจเพราะเป็นที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาท (ศรีปาดะ) มีวัดสำหรับประกอบพิธีกรรมบริเวณข้างรอยพระพุทธบาท นี่เป็นสถานที่แสวงบุญประจำปีของชาวพุทธและถือว่าเป็นหนึ่งใน 16 สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของศรีลังกา มีเส้นทางหลักสองทาง ได้แก่ รัตนปุระและฮัตตันสำหรับปีนขึ้นมาบนภูเขาแห่งนี้ หนึ่งในสิ่งที่น่าสนใจของศรีปาดะก็คือ ที่นี่ไม่ได้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวพุทธเท่านั้น แต่ยังเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวคริสต์ ฮินดู และมุสลิม พวกเขาจึงเดินทางมาแสวงบุญที่ภูเขาแห่งนี้ด้วย
กิริหะดุเสยะ ตั้งอยู่ที่เมืองธิริยายะในเขตตรินโคมาลีทางด้านตะวันออก เชื่อกันว่ากิริหะดุเสยะเป็นสถูปแห่งแรกในศรีลังกาที่สร้างโดยพ่อค้าธาปัสสุและบัลลุกะในช่วงที่พระพุทธเจ้ายังคงดำรงพระชนม์ชีพอยู่ สถูปแห่งนี้ยังเป็นที่รู้จักในชื่อนิธิปัธปานะ ในสมัยโบราณสถูปแห่งนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ “กิริคันดะสถูป” เชื่อกันว่าสถูปกิริหะดุเป็นที่พระดิษฐานพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า
เสรุวิละมังคลา ราชมหาวิหาร เป็นวัดพุทธโบราณที่ตั้งอยู่ในเขตตรินโคมาลี เป็นหนึ่งในสถานที่ทางพุทธศาสนา 16 แห่งที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในศรีลังกา วัดแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าคาวันติสสะเมื่อศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล ในปี 1922 สถูปเสรุวิละถูกค้นพบโดยพระคุณเจ้าดัมบากะสาเร สุเมตตันคาระเถระ หลังจากนั้นก็มีการเริ่มต้นบูรณะปฏิสังขรณ์ การบูรณะเสร็จสิ้นเมื่อปี 1931 และเปิดให้สาธารณะชนได้เข้าชม ในปี 1962 สถูปและบริเวณโดยรอบถูกประกาศให้เป็นพื้นที่สงวนทางโบราณคดี วัดนี้สามารถเข้าถึงได้ทั้งทางบกและทางทะเล